พฤติกรรม Gen Z+ ที่จะมีอิทธิพลมากในอนาคต

1. Gen Z+ ในจีน (เกิดปี 1985 - 2009)

 มีกว่า 450 ล้านคน ซึ่งมากกว่า ประชากรในสหรัฐประมาณ 1.3 เท่า เป็นผลให้ ภายในไม่เกิน 10 ปี ชนชั้นกลางในจีนจะมีกว่า 700 ล้านคน

2. ซึ่งเป็นกำลังซื้อ

ที่แข็งแกร่งมาก โดยปี 2019 มีมูลค่าการจับจ่ายกว่า 9 ล้านล้าน USD (ประมาณ Apple x 4) และจะโตเป็น 2 เท่าในปี 2030

3. หลังจาก

ที่ได้คุยกับบุคคลตัวอย่างตามท้องถิ่น ทาง Baillie Gifford มองว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวที่จะมีผลมาก (Secular Trend) หากวิเคราะห์ดี ๆ จะเห็นซึ่งโอกาสลงทุนมากมาย จากกลุ่มคนรุ่นนี้

4. Gen Z+ 

เติบโตในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน (China policy – Reform and opening-up) จึงมีความคิด พฤติกรรมและการเข้าสังคมต่างไปจากรุ่นก่อนมาก ๆ รวมถึงมีเงินให้ใช้ได้อย่างไม่ขาดมือ (พ่อแม่หาเงินได้ดี แต่มีลูกไม่กี่คน)

5. คนรุ่นนี้ 

มีมุมมองเชิงบวกต่ออนาคตมาก ๆ คิดว่าประเทศจีนเก่งมาก ๆ เพราะได้เห็นทั้งการแซงหน้าเศรษฐกิจญี่ปุ่น การทยอยแพร่อาณานิคมด้วยโครงการ Belt and Road initiatives และล่าสุด การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากวิกฤต COVID-19 ที่เร็วกว่าชาวโลกมาก

6. มีความภาคภูมิใจ

ในการเติบโตอย่างรวดเร็วของบรรดา Tech Company สัญชาติจีน ต่าง ๆ เช่น Tencent, Alibaba, Bytedance (TikTok), Meituan และ Pinduoduo

7. Tech Company 

ที่สำเร็จไปก่อน ก็วางรากฐานเช่น Cloud Service, Data analytic ไว้ให้ บริษัทเล็ก ๆ อย่าง Startup ในกลุ่มต่าง ๆ ให้เติบโตตามได้ มีต้นทุนในการเริ่มธุรกิจที่ไม่สูง และสำเร็จได้ง่ายขึ้น

8. ในปี 2025

จะมีคนเข้าถึง 5G กว่า 822 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่า สหรัฐ 4 เท่า มากกว่าญี่ปุ่น 8 เท่า

9. ปัญหาคือ

คนรุ่นนี้ จะรู้สึกเหงามากหน่อย เพราะเกิดในยุคที่ มีนโยบายควบคุมจำนวนบุตร แม้ว่าในปัจจุบันนโยบายจะถูกยกเลิกและกลับมากระตุ้นเพิ่มประชากรแล้วก็ตาม

10. สังคมจีน

นิยมลูกชายมากกว่า Gen Z+ จึงมีสัดส่วนวัยรุ่นชายที่ยังหาคู่ไม่ได้มากมาย (เกินมาประมาณ 35 ล้านคน) และมีความต้องการทางสังคมหลายด้าน เช่น การได้รับการยอมรับ จึงถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ มีแรงกระตุ้น ที่ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจ/ลงทุน มากมาย

11. วัยรุ่นหญิง

เองก็อยากตามหาความฝัน อยากทำงาน มากกว่ารีบแต่งงานก็ยิ่งทำให้เหงาเข้าไปอีก ทำงานมากขึ้น แต่ยังไม่อยากแต่งงานก็ทำให้ มีเงินเหลือใช้ สนองความต้องการได้มากขึ้น เช่น แบรนด์เนม เครื่องสำอางค์ และเน้นนัดหมายกินชา กัน (ไม่ใช่ชาไข่มุกนะ เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ)

12. กลุ่มที่น่า

จะ Enjoy Spending ที่สุดมักจะเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่หัวเมืองรอง ไม่ใช่ในเมืองหลวงอันดับต้น ๆ เพราะถึงแม้เมืองหลวง รายได้จะดี แต่ค่าครองชีพจะแพงตาม ทำงานหนักกว่า จนอาจไม่มีเวลาใช้เงินมากนัก

13. เลือกที่เชื่อ

เพื่อนบอก (KOL) มากกว่า โฆษณา / สินค้านำเข้า สู้สินค้าจีนทำเองไม่ได้ / เชื่อว่าทุกคนมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน / เลือกพัฒนาความสัมพันธ์ หาเพื่อน online ได้มากกว่า คนรุ่นก่อน

14. เติบโต

มาในยุคที่สภาพอากาศไม่ดี เลยมีความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายของประเทศที่จะเป็น Carbon Neutral ในปี 2060

15. มูลค่า

การใช้เครื่องสำอางค์ต่อหัวยังถือว่าเป็นรอง ญี่ปุ่น และเกาหลีพอควร (อันดับ 6) แต่ช่วงห่างกำลังลดลงเพราะ Gen Z+ ให้ความสำคัญและมีกำลังซื้อมากกว่าคนรุ่นก่อน และเน้นเป็นแบรนด์จีน ซึ่งมีการใช้ Virutal Influencer ทำการตลาดได้อย่างรวดเร็วและได้ผลมาก ๆ

16. Livestreamed ecommerce

เป็นอีกกระแสที่สามารถทำตลาดได้ดี ผ่านนักขาย online ที่เน้นการ Live สด ให้เห็นของจริง ๆ ตัวเป็นๆ เพื่อนำเสนอ รีวิว ตอบคำถาม แจกโปรโมชั่น ลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายแบบฉับพลัน ได้ผลดีในกลุ่มเมืองรอง ที่ไม่ค่อยได้เคยเห็นสินค้าใหม่ ๆ มากมายนัก

17. นอกจากกระแสรักษ์โลก

รักความงามแล้ว กระแสรักชาติก็กลับมาได้รับความนิยม การนำวัฒนธรรมจีนในอดีตมาประยุกต์ให้ทันสมัย ร่วมสมัยมากขึ้น เช่น Li Ning ที่ใช้สีแดงเหลืองของธงชาติ ในการ Rebranding ปี 2018 หรือบริษัาขายเหล้าขาว Jiangxiaobai ที่ใช้ลวดลายพู่กันประดับขวดด้วยการออกแบบที่ทันสมัย ผสมกับลดปริมาณแอลกอฮอลให้ผสมดื่มได้ง่ายขึ้น ก็ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ไม่แพ้กัน

18. ในปี 2020

รถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายประมาณ 25 ล้านคัน ทั่วประเทศ (น้อยจัง) โดยรัฐบาล ตั้งเป้าให้โตเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายรถทั้งหมดในปี 2035 หนึ่งในกลยุทธ์การกระตุ้นจาก Nio คือการใช้แบตเตอรี่ที่สับเปลี่ยน อัพเกรดได้ภายหลัง (Swappable Battery) เพื่อให้การตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ราคาขายต่อไม่ตกตาม คุณภาพของแบต / ในขณะที่บริษัทผลิต พัฒนาแบตเตอรี่ในจีน
ก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน มีส่วนแบ่งตลาดแบตลิเธี่ยมถึง 61% และยังสามารถส่งออกไปยังบริษัทรถยนต์ชั้นนำอย่าง Tesla หรือ Volkswagen ได้ด้วย (ภูมิใจมาก ๆ)

19. Gen Z+

มีความคุ้นเคยกับการใช้ App หาความบันเทิง ตัวอย่างเช่น ByteDance’s Douyin ที่มีผู้ใช้ทุกวันกว่า 600 ล้านบัญชี และยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปิดร้าน Virtual Store พัฒนาระบบจ่ายเงินเพื่อรองรับ ส่วน Video Platform แม้ไม่มี Youtube แต่มี BiliBili แทน

20. ตลาดเกม

ของจีนถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก สร้างมูลค่าการตลาด กว่า 4.4 หมื่นล้าน USD ในปี 2020 นำโดย Tencent และ NetEase

21. การผลัด

รุ่นของชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในประเทศจีน ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมของการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการใช้ชีวิตหลาย ๆ ด้านพร้อมกัน สิ่งที่สำคัญคือ รูปแบการบริโภค แรงกระตุ้นก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน จึงเป็นโอกาสของแบรนด์ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสร้างพื้นที่ในใจของคนรุ่น Gen Z+ รวมถึงโอกาสการลงทุนของชาวเราด้วยเช่นกัน

22. แตกต่าง

จากช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา บริษัทท้องถิ่นจะมีโอกาสดีกว่า สินค้าข้ามชาติ ซึ่งภายหลังจากได้ส่วนแบ่งในประเทศและการเติบโตออกไปสู่ระดับสากลก็ไม่ยากอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น Bytedance (TikTok) ที่มีผู้ใช้เกิน 1 พันล้านคนไปแล้ว

บทสรุป

กล่าวโดยสรุป Baillie Gifford มองว่า ต้องรอดูกันต่อไป ว่าโอกาสที่น่าตื่นเต้นนี้ จะไปได้สักแค่ไหน ระหว่างนี้ก็ทำวิจัย ถือลงทุน หาข้อมูลและรอเวลาให้บริษัทเหล่านี้เติบโตเป็นลำดับไป

ความเห็นส่วนตัว : นี่มัน เชียร์ Ashare ชัด ๆ

Share On :

Scroll to Top