ชอบซื้อ ชอบถือหุ้น นั้นโอเคแต่ต้องเลือกให้ถูกกลุ่มด้วย


ข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลาที่การลงทุนจะผันผวนมากขึ้น นักลงทุนจะคาดหวังผลตอบแทนจากตลาดได้น้อยลง กว่าช่วงก่อน COVID-19 เพราะปัจจุบันฐานค่อนข้างสูง ยังชอบหุ้นอยู่
สำคัญ คือ Green Energy, Faster Tech Adoption และ Sharing Growth (รวยกระจาย ไม่กระจุก)
กลุ่มตราสารหนี้ จะยังคงต่ำ แต่น่าจะเป็นบวก และทำหน้าที่เป็นส่วนหลักไว้ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตได้ แต่อาจมีผลกระทบเล็กน้อยช่วงสั้น ในยามที่เศรษฐกิจกำลังฟื้น (เงินเฟ้อขึ้น ดอกเบี้ยขึ้น ราคาตลาดลดลง) มองว่าถ้าวัดกันที่ความเสี่ยงเดียวกัน ตราสารหนี้อาจให้ผลตอบแทน “คุ้มกว่า” หุ้น
4 เรื่อง ได้แก่ ความตรึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐ, สังคมแบ่งขั้ว เหลื่อมล้ำ, ผลกระทบของนวัตกรรมต่อพฤติกรรมมนุษย์ และวิกฤตสภาวะสิ่งแวะดล้อม
แถมอีกเรื่องคือ ระดับหนี้สินทั้งในภาครัฐและเอกชนยังสูง สภาพคล่องยังล้นเกิน อาจสร้างความเปราะบางในการดำเนินนโยบายการเงินในแต่ละส่วนของโลกได้
อนุรักษ์โลก คงไม่ง่ายนัก “รู้ว่าอยาก แต่ทำไม่ได้” มีคนเสียประโยชน์
ลดความเหลื่อมล้ำ เห็นได้ในหลายแห่ง เช่น Common Prosperity ของจีน หรือเม็ดเงินโครงสร้างพื้นฐาน สุขภาพ การศึกษาของสหรัฐ
ไม่ร้อนแรงเท่าเมื่อก่อน แต่เน้นพึ่งพาตัวเอง จบในประเทศได้เป็นหลัก
= เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ สำหรับ 5 ปี ข้างหน้า ทำให้ ผลตอบแทนโดยรวมต่ำลง มีหลุมระหว่างทาง โอกาสยังคงมี แต่หายากขึ้น เพราะความไม่ชัดเจน
น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี ในกลุ่ม Emerging Market
อาจจะยังไม่นิ่ง เนื่องจากรวมหลายประเทศ หลายนโยบาย ภายใต้สกุลเดียว แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีจากการตั้ง EU Fund การเมืองในกลุ่ม โดยเฉพาะ อิตาลี ยังคงเป็นเรื่องที่คอยสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุนได้อยู่เรื่อย ๆ
กลุ่ม Semiconductor, factory automation, green energy และ mobility suppliers น่าจะได้ประโยชน์จาก Secular trend นี้
ทำให้เกิดการกระจายตัวของ Demand ในเรื่องที่อยู่อาศัยแบบใหม่ ๆมากขึ้น เริ่มเห็นโอกาสจากเทรนด์ WFH ในอสังหากลุ่ม Commercial จากกลุ่มชนชั้นกลางในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และมีอัตราการขยายสู่ชานเมืองมากขึ้น รวมถึงกลุ่ม Data Center ที่มารองรับ ด้วยเช่นกัน
You must be logged in to post a comment.