ชายผู้ที่รวยที่สุดในปฐพีนี้ 4 สมัยติด ใครกัน?

เขาคือใคร ทำไมร๊วย รวย... Jeff Bezos (เจฟฟ์ เบโซส) คือใคร?

เขาคือ นักธุรกิจ เจ้าของสื่อ และนักลงทุน ชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักจากการเป็น CEO ของบริษัทค้าปลีกออนไลน์อย่าง Amazon และนิตยสาร Forbes อีกทั้งยังก่อตั้งบริษัทผู้ผลิตยานอวกาศและบริษัทให้บริการเที่ยวบินท่องอวกาศที่ชื่อ Blue Origin ในปี 2000 ซึ่งบริษัทนี้ได้ทดลองเที่ยวบินไปอวกาศสำเร็จครั้งแรกในปี 2015 แผนของบริษัทที่กำลังทำอยู่คือ เที่ยวบินท่องอวกาศเชิงพาณิชย์สำหรับมนุษย์
 
Jeff Bezos เขาได้ก้าวชึ้นมาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 ได้การขนานนามว่าเป็น “คนที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่” อีกทั้งในเดือนกันยายน 2018 Forbes ยังกล่าวว่าเขาเป็น “คนที่รวยมากกว่าใครๆ บนโลกใบนี้” โดย Amazon ได้ทำให้เขามีสินทรัพย์สุทธิเพิ่มอีก 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และทำให้บริษัท เป็นบริษัทที่สองในประวัติศาสตร์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ รองจากบริษัท Apple นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันในปี 2021 Amazon ได้ตกหล่นสู่อันดับ 4 บริิษัทที่มูลค่าทางการตลาดสูงที่สุด โดยมี Apple, Saudi Aramco และ Microsoft เป็นอันดับ หนึ่ง สองและสาม ตามลำดับ ผ่านการจัดอันดับของ Global top100 company by market capitalisation จาก PwCแต่แล้วก็มีบุคคลหนึ่งที่เข้ามาท้าชิงบัลลังก์คนที่รวยที่สุดบนโลกไปจาก Jeff Bezos เขาคนนั้นก็คือ Bernard Arnault เขาเป็น CEO เจ้าของเครือแบรนด์เนมหรูอย่าง LVMH แซงหน้า Jeff Bezos มาเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกเป็นเวลารวม 50 วัน ด้วยทรัพย์สินรวม 1.863 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5.83 ล้านล้านบาท ส่วน Jeff Bezos ที่ตกลงมาเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 2 มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 1.860 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ( หรือประมาณ 5.82 ล้านล้านบาท) ส่วนมหาเศรษฐีอันดับ 3 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น Elon Musk ที่มีทรัพย์สินอยู่ที่ 1.47 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 4.6 ล้านล้านบาท
 

ซึ่งความมั่งคั่งและร่ำรวย

ของ Bernard Arnault เกิดจากสัดส่วนของการที่ถือหุ้นบริษัท LVMH ถึง 47% ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์แฟชันระดับโลกมากมาย เช่น Louis Vuitton, Christian Dior และ Tiffany & Co และนอกจากนี้ เขายังถือหุ้น 6% ในบริษัทค้าปลีกในฝรั่งเศสอย่าง Carrefour และอีก 2% กับแบรนด์แฟชันสุดหรูหราที่ชื่อดังระดับโลกที่คนไทยคุ้นเคยอีกแบรนด์หนึ่งคือ Hermès

จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคมในปี 2021 Jeff Bezos กลับมาทวงคืนต่ำแหน่งบุคคลที่รวยที่สุดในโลกอีกครั้ง จาก Bernard Arnault ถึงแม้ว่าหุ้นของอเมซอนจะลดลงมา 1.3% จึงส่งผลทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Bezos ลดลงมา 1.3 พันล้านดอลลาร์ แต่กระนั้นหุ้นของกลุ่มบริษัทหรูหราของ Bernard Arnault ซึ่งก็คือ LVMH ก็ลดลง 5.2% มากกว่า Amazon ซะอีก เหตุเกิดจากการซื้อขายสินค้าแฟชันหรูหราในยุโรปเบาบางลง จึงส่งผลให้ทรัพย์สินของ Arnault ลดลงถึง 9.9 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ซึ่งหลังจากที่ Bezos ได้ก่อตั้ง Amazon และเป็นผู้นำมาเกือบสามทศวรรษแล้ว เขาก็ได้สละเก้าอี้จากตำแหน่ง CEO เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาให้กับ Andy Jassy หัวหน้าของ AWS ( Amazon Web Services ) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และต่อมา Bezos เขาได้ถอนเงินสดออกจากหุ้น Amazon เป็นมูลค่าถึง 6.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งเป็นจำนวน 51 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปบริจาคกับผู้รับบริจาคที่ไม่ประสงค์ออกนาม แต่คาดว่าอาจจะเป็น พิพิธภัณฑ์อากาศและอวกาศแห่งชาติของสถาบันสมิธโซเนียน โดยที่เชื่อกันว่า ต่อจากนี้ Bezos จะหันไปให้เวลาในการบริหารงานธุรกิจอื่นๆ ในมือของเขามากขึ้น เช่น ธุรกิจสื่ออย่าง The Washington Post หรือ Blue Origin เพื่อทุ่มเทให้กับเป้าหมายของเขาในการสร้างเที่ยวบินท่องอวกาศเชิงพาณิชย์สำหรับมนุษย์

มูลค่าสุทธิของ Bezos ในตอนนี้เกิน 210,000 ล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ เดือนกรกฎาคม 2021 ทำให้เขาไม่เพียงแต่เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในปัจจุบัน แต่ยังร่ำรวยกว่าใครๆ ในโลก ย้อนหลังไปถึงอย่างน้อยปี 1982 เมื่อมีการสร้างรายชื่อ Forbes 400 รายการแรก

บทสรุป

ถึงแม้คนที่มีรายได้มากอยู่แล้วจากการเป็นศิลปินหรือเซเลบริตี้แต่อดีตนักร้องวัย 33 ก็ยังก้าวที่จะออกมาสู่วงการธุรกิจ เพื่อหารายได้ที่มากขึ้นและสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง อีกทั้งตัวเลขของรายได้ก็ได้สะท้อนให้เห็นข้างต้นแล้วว่าการทำธุรกิจสร้างรายได้มากกว่าเดิมให้แก่ Rihanna เพียงใด ซึ่งในปัจจุบันส่งผลให้เธอเป็นศิลปินหญิงที่รวยที่สุดไปแล้ว และนอกจากนั้นยังมีศิลปินนักแสดงรุ่นใหม่ รุ่นเก่ามากมายที่เริ่มจะหันมาเปิดแบรนด์ทำธุรกิจเป็นของตนเองเพื่อเพิ่มรายได้ช่องทางอื่นมากยิ่งขึ้น สรุปแล้วการมีรายรับมากกว่าทางเดียวหรือการหาเส้นทางอาชีพใหม่ให้กับตนเอง อาจจะสร้างรายได้ไปสู่ความมั่นคงมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

Share On :

Scroll to Top