T.Rowe Price l Mid Year Outlook 2023 EP.07

MID YEAR OUTLOOK

Lief capital Asset Management

สรุป Mid-Year Outlook จาก T.Rowe Price

Finding the Signal Through the Noise

T.Rowe Price มองว่า

สัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจจะเลวร้ายทั้งหลาย  อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดเนื่องจากตัวเลขหลายๆ อย่างอาจจะแค่ลดลงมาจากก่อนหน้านี้ที่สูงผิดปกติหลังโควิด  เช่น PMI ที่ลดลง, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง, ปริมาณเงินในระบบ, ฯลฯ เศรษฐกิจจีนดูเหมือนฟื้นแบบช้า  มาจากการที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ฟื้น  ในขณะที่บริษัทในญี่ปุ่นทำได้ดี

โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเป็นไปได้ยากนอกเสียจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะหดตัวอย่างรุนแรง  ส่วนทางฝั่งยุโรปกับอังกฤษเชื่อว่ายังต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง โดยในช่วงครึ่งปีหลังปัจจัยด้านการเงินหลายอย่างรวมกันอาจจะมีผลกับเศรษฐกิจ  ได้แก่

    • นโยบายการเงินตึงตัวของ Fed

    • การที่ธนาคารลดการปล่อยสินเชื่อ

    • U.S. Treasury จะต้องมีการออกตราสารหนี้กู้ยืมเงินประมาณ 1.4 ล้านล้านเหรียญ

โอกาสในการลงทุน

  • ตราสารหนี้ระยะสั้นมากหรือเงินสด  เนื่องจากผลตอบแทนสูงและอนาคตยังมีความไม่แน่นอน

  • ตราสารหนี้ภาคเอกชน High Yield  ให้ผลตอบแทนสูงกว่าคุ้มค่าต่อให้เศรษฐกิจมีการชะลดตัวและอัตราการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้

  • ตราสารหนี้นอก U.S. บางประเทศไม่ได้มี inverted yield curve และในตลาด EM บางแห่งธนาคารกลางอาจจะใกล้ลดอัตราดอกเบี้ย

  • หุ้น U.S. Small-Caps ดูราคาถูกมากเหมือนช่วงปี 2008

  • หุ้น U.S. Mega-Caps ในกลุ่มเทคโนโลยี  ควรจะทำได้ดีต่อไปเนื่องจากจะเป็นกลุ่มที่มีทรัพยากรมากพอที่จะได้ประโยชน์จาก AI  บริษัทที่เข้มแข็งอยู่แล้วจะเข้มแข็งขึ้นไปอีก

  • หุ้นญี่ปุ่นน่าจะทำได้ดีต่อไปในอนาคต  เนื่องจากมีการพัฒนาในระยะยาว เช่น ธรรมาภิบาล, การจัดสรรเงินทุนที่ดีขึ้น

กลุ่มที่ให้ระมัดระวัง คือ

  • ตราสารหนี้ระยะยาวคุณภาพสูงทั้งภาครัฐและเอกชน พวกนี้ผลตอบแทนที่หักเงินเฟ้อแล้วยังติดลบอยู่  และมองว่า Fed จะไม่ทำการลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้

 

โดยสรุป :

ยังวางใจกับสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไม่ได้เพราะเราไม่สามารถดูจากตัวเลขปัจจัยต่างๆ ที่ลดลง ตอนนี้ที่ต้องพึงระวังคือการจับตาดูแนวโน้มว่า FED จะมีนโนบายอะไรออกมา ณ ตอนนี้ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว เพราะถึงแม้จะมีผลตอบแทนแต่หากหักลบกับเงินเฟ้อก็มีผลติดลบอยู่ดี

 

ข้อมูลอ้างอิง : https://www.troweprice.com/financial-intermediary/us/en/insights/articles/2023/q2/2023-midyear-market-outlook.html

*บทความสรุปเนื้อหาเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน หรือคำเสนอสินค้าและบริการทางการเงินการลงทุน นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

T.Rowe Price l Mid Year Outlook 2023 EP.07 Read More »

RBC l Mid Year Outlook 2023 EP.06

MID YEAR OUTLOOK

Lief capital Asset Management

สรุป Mid-Year Outlook จาก RBC

The Global Investment Outlook

RBC มองว่า

ในปี 2023 RBC มองว่าความน่าจะเป็นในการเกิด Recession สูงถึง 80% โดยจะเกิด Mild Recession โดยไม่กระทบกับเศรษฐกิจถึงขนาดที่ติดลบ แต่ก็เติบโตได้น้อยลง ซึ่งเป็นผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงจากปี 2022 สอดคล้องกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่มองว่าเลยจุด peak ไปแล้วจากการกำหนดราคาของผู้ผลิตที่ไม่ได้สูงขึ้นแล้วเมื่อเทียบกับช่วง Peak 

ส่วนดอกเบี้ยนั้น มองว่าถึงจุดสูงสุดและจะขึ้นไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นอกจากว่าจะไม่เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจเลย FED อาจจะจำเป็นต้องพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเพื่อให้เงินเฟ้อลงมาถึงกรอบที่ตั้งไว้ โดยจะมีประมาณการเติบโต ดังนี้ US ปีนี้โตเพียง 1% เท่านั้นจาก Recession และมองว่า กลุ่ม DM จะเกิด Recession และจะโตน้อยลง

โอกาสในการลงทุน

  • EU Bond จาก Yield ของฝั่ง เยอรมันและประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่สูงที่สูดเป็นประวัติการณ์

  • Tech US น่าสนใจจากกระแส AI โดย RBC เชื่อว่า จะเป็นการเติบโตในระยะยาว ไม่ใช่แค่กระแสที่มาและจากไป

  • High Quality Large Cap EU จากความกดดัน Recession และ Cycle ดอกเบี้ยที่ยังตามหลัง US อยู่ RBC มองว่า เลือกหุ้นที่มีคุณภาพในยุโรป ยังมีโอกาสที่ดี เนื่องจาก หุ้น EU ถูกกว่า US 

  • China ยังคงมีโอกาสเติบโตมากที่สุดในเอเชีย และมี Momentum ที่ดีจากการเปิดประเทศ

กลุ่มที่ให้ระมัดระวัง คือ

  • กลุ่ม Financial ทั้ง EU และ US จากความกดดันจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มธนาคาร ทำได้ไม่ดีนัก

  • อสังหาฯ (REITs) จะได้รับความกดดันจากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน

 

โดยสรุป :

มุมมองจาก RBC มองว่าภายในปีนี้ จะเกิด Recession สูงถึง 80% โดยเป็น Mild Recession จะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นการเติบโตติดลบ แต่อาจจะเติบโตน้อยลง เงินเฟ้อมองว่าผ่านจุด Peak ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสอดคล้องกับสถานการณ์ดอกเบี้ยที่มองว่าจะขึ้นมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ประมาณการเติบโตปีนี้ มองว่ากลุ่ม DM จะโตน้อยลงแต่กลุ่ม EM โดยเฉพาะจีนจะไม่เจอ Recession และโตเพิ่มขึ้นถึง 5.80% สินทรัพย์ที่ชอบจะเป็น EU Bond,Tech US ในระยะยาว กลุ่ม High Quality ใน Europe และจีนที่มีโอกาสเติบโตมากที่สุด ส่วนกลุ่มที่หลีกเลี่ยงคือ กลุ่ม Financial ทั้ง EU และ US และ อสังหาฯ

 

ข้อมูลอ้างอิง : https://www.rbcgam.com/documents/en/articles/global-investment-outlook-2023-summer.pdf?language_id=1

*บทความสรุปเนื้อหาเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน หรือคำเสนอสินค้าและบริการทางการเงินการลงทุน นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

RBC l Mid Year Outlook 2023 EP.06 Read More »

Schroder l Mid Year Outlook 2023 EP.05

MID YEAR OUTLOOK

Lief capital Asset Management

สรุป Mid-Year Outlook จาก Schroder

Global growth forecasts : up for 2023 and down for 2024

Schroder มองว่า

ฝั่ง Developed Market สหรัฐฯ จากการที่ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่งในต้นปี 2023 จะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้ดีอยู่ และเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะโตได้ถึง 1.5% แต่เนื่องจากดอกเบี้ยที่สูงถึง 5.25% จะเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยมองว่าผลพวงการขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะออกผลในช่วงปลายปี 2023 เป็น Mild Recession FED จะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายปี 2023 เลย ซึ่งจะทำให้ปี 2024 อาจจะเป็นปีที่เติบโตน้อยกว่าปี 2023 ด้วย

Europe – ถึงแม้ว่าราคาพลังงานจะลดลงไปแล้ว แต่เงินเฟ้อฝั่งยุโรปยังคงสูงอยู่จากราคาอาหารและการจ้างงานภาค Service Schroder คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อปี 2023 จะอยู่ที่ระดับ 5.60% และเริ่มลดลงในปี 2024 ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้นจะอยู่ที่ระดับ 4.25% ในปี 2023 และเริ่มลดระดับไปสู่ 2.50% ในปี 2024 ส่วนการเติบโต จะเติบโตเพียงแค่ 0.60% และ 0.90% ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับเท่านั้น

UK – Schroder เชื่อว่า UK จะไม่เข้าสู่ Technical Recession แต่อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ระดับเงินเฟ้อในปี 2023 จะอยู่ที่ 7.60% จากราคาอาหารที่ไม่ลด แล้วจะค่อยๆลดลงในปี 2024 สู่ระดับ 3.60% ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 5.00% และจะปรับลงในปี 2024 สู่ระดับ 3.25% ในปี 2024 ต่อไป

ส่วนฝั่ง Emerging Market ถึงแม้จะโตได้ดีจากจีนเปิดประเทศ แต่ยังมีสัญญาณการชะลอตัวอยู่ โดยปี 2023 มองว่าโตได้ 4.40% และปี 2024 โตได้แค่ 3.90% แต่เงินเฟ้อฝั่ง EM ที่ลดลงเร็วกว่าฝั่ง DM เชื่อว่าครึ่งปีหลัง ธนาคารกลางของกลุ่ม EM น่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่า และมีโอกาสโตได้ดีกว่าฝั่ง EM

โอกาสในการลงทุน เป็นกลุ่ม EM โดยเฉพาะจีน ถึงแม้ทั้งโลกจะชะลอแต่เชื่อว่ากลุ่ม EM จะชะลอน้อยกว่า

กลุ่มที่ให้ระมัดระวัง คือ กลุ่ม DM จากความเสี่ยง Recession ที่กำลังใกล้เข้ามา

 

โดยสรุป :

Schroder มองว่าฝั่ง Develop Market นั้นจะเติบโตได้น้อยลงในปี 2023 นี้จากดอกเบี้ยที่สูงจะค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจเป็น Mild Recession ในช่วงปลายปี 2023 และ FED จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายปี 2023 ส่วนฝั่ง Europe นั้นด้วยเงินเฟ้อที่เหนียวแน่นนั้น มีโอกาสสูงมากที่ ECB จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องและจะฉุดให้ Europe เติบโตได้น้อยลงโดยโตเพียงแค่ 0.60% เท่านั้น ส่วนฝั่ง EM มองว่าแม้ทั้งโลกจะชะลอแต่กลุ่ม EM ก็จะยังเติบโตได้จากการที่เงินเฟ้อฝั่ง EM ไม่ได้รุนแรงมากนัก แนะนำลงทุนในกลุ่ม EM ส่วนตลาด DM อาจจะเลี่ยงไปก่อน

 

ข้อมูลอ้างอิง : https://www.schroders.com/en-hk/hk/individual/insights/global-growth-forecasts-up-for-2023-and-down-for-2024/

*บทความสรุปเนื้อหาเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน หรือคำเสนอสินค้าและบริการทางการเงินการลงทุน นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

Schroder l Mid Year Outlook 2023 EP.05 Read More »

Scroll to Top