PHILOSOPHY
Lief capital Asset Management
ปรัชญา และแนวทางการลงทุน
ตั้งเป้าหมาย ขยายทางสู่ความสำเร็จด้วยการลงทุนระยะยาว
บลจ. ลีฟแคปปิตอล นั้นให้ความสำคัญกับเป้าหมายและความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ( Goal Based Investing ) เพื่อนำลูกค้าไปสู่จุดหมายที่ต้องการ ผ่านกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาวเป็นหลัก (Long-Term Investment) “ผมคิดว่าผลสัมฤทธิ์จากการลงทุนเป็นอะไรที่มากกว่า กำไรเป็นตัวเงิน ถ้าเราจัดการมันได้ดี มันจะสามารถเปลี่ยนชีวิตของนักลงทุนได้ ทั้งในแง่ของความรู้สึกปลอดภัย ไร้กังวล และการได้ใช้เวลากับสิ่งที่ต้องการ คุณภาพชีวิตที่ดี มาจากการลงทุนที่มีเป้าหมาย” กล่าวโดย คุณพงษ์ธร ถาวรธนากุล CEO, Lief Capital AMC
- ทำไมถึงต้องมีเป้าหมายในการลงทุน
- ผลตอบแทนกลยุทธ์ของเราหน้าตาเป็นอย่างไร ?
- ลูกค้านักลงทุนมีส่วนร่วมได้ไหม ?
การลงทุนที่มีเป้าหมายจะทำให้พอร์ตมีภาพของผลตอบแทนและความผันผวนที่ชัดเจน ไม่เสี่ยงมากเกินไป (กำไรดี หรือขาดทุนหนักมากในบางปี) หรือเสี่ยงน้อยเกินไป (ถือแต่สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ปลอดภัยแต่เติบโตไม่ตามเป้า) ให้เงินลงทุนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น อย่างสม่ำเสมอ มีหลักยึดที่ชัดเจน ไม่หวั่นไหวง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด ไม่ซื้อไล่ราคาเพราะตามกระแส ไม่ขายขาดทุนเพราะตกใจ การตั้งเป้าจะทำให้การตัดสินใจในแต่ละครั้งมีความนิ่งมากขึ้น
ในบางกรณีนักลงทุน มีเป้าหมายคือ กำไรเป็นตัวเลข (X% ต่อปี) แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ทำไมต้อง X% เพื่ออะไร เพราะอะไร ต้องเตรียมตัวอย่างไร ? ทำให้หาจุดพอดีได้ยาก และนำไปสู่ความผิดพลาดของการลงทุนที่เสี่ยงเกินไป
หลายครั้ง การลงทุนที่ดีมักจะถูกตีความว่า ต้องสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุด ปีละหลายสิบ หรือหลายร้อย % ได้ ถึงจะเรียกว่าสำเร็จ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีถ้าสามารถทำได้ แต่จากข้อมูลเชิงสถิติพบว่า ปรากฎการณ์ดังกล่าว มักจะไม่เกิดขึ้นซ้ำ เป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว กลยุทธ์ที่ดี หุ้นที่ราคาปรับขึ้นหลายเด้ง มักจะไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบเดิมได้ในปีถัด ๆ ไป เราตระหนักดีว่า นักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อการเติบโตระยะยาว ไม่ได้ต้องการอยากได้ผลตอบแทนที่ก้าวกระโดดในบางปี แต่ผันผวนและขาดทุนได้อย่างหนักหน่วงในช่วงที่เหลือ แต่เรามองว่า ผลตอบแทนที่ดี คือผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ สะสมทบต้นไปในแต่ละปี ระยะยาว สูงที่สุดเท่าที่สภาวะการลงทุนจะเอื้ออำนวย บนความเสี่ยงที่ไม่มากจนเกินไป
ได้แน่นอน เนื่องจากขึ้นชื่อว่า กลยุทธ์ส่วนบุคคล ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดรายละเอียดในระดับสัดส่วนการลงทุน (Asset Weight) เพื่อสะท้อนมุมมองของตัวนักลงทุนเองเพิ่มเติมได้ เช่น ไม่ต้องการลงทุนหุ้นไทย หรือ ต้องการเพิ่มสัดส่วนในหุ้นจีนมากกว่าปกติ เป็นต้น
แต่โดยปกติ หากไม่มีความต้องการพิเศษ บริษัทจะบริหารจัดการกลยุทธ์แบบ One Stop Service เพื่อให้ผลตอบแทนเป็นไปอย่างสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของลูกค้า ผู้จัดการกลยุทธ์จะจัดสัดส่วนพอร์ตการลงทุนในแต่ละกลุ่มสินทรัพย์ คัดเลือกสินทรัพย์และปรับสัดส่วนให้อย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์การลงทุนของเรา
แนวทางและกลยุทธ์ที่เราเลือกใช้กับการลงทุน
- มีสัดส่วนลงทุนในไทยไหม ?
- จัดพอร์ตลงทุนด้วย ETF ?
- รับประกันไหมว่าเงินลงทุนจะถึงเป้าหมาย ?
- มีกลไกลป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไหม ?
เราใช้หลักนักลงทุนจากต่างดาว (Alien Investor) ที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกส่วนของโลก เมื่อมองแบบนั้นแล้ว ประเทศไทยที่มีสัดส่วนทางเศรษฐกิจไม่ถึง 1% ของโลก อาจเป็นการลงทุนที่ไม่มีน้ำหนักมากนัก อย่างไรก็ดี เราไม่ปล่อยให้โอกาสใกล้ตัวหลุดมือ หากเราเห็นปัจจัยการลงทุน กลยุทธ์อาจพิจารณาลงทุนผ่าน ETF ที่เกี่ยวข้อง หรือดำเนินกลยุทธ์การลงทุนภายในประเทศที่น่าสนใจ
หนึ่งในวิธีการที่ทำให้ผลตอบแทนกลยุทธ์สุทธิสูงขึ้นได้นั้น คือการลดค่าใช้จ่ายกลยุทธ์ การเลือกลงทุนด้วยช่องทางที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าจึงมีบทบาทสำคัญ ETF เป็นเครื่องที่ตอบโจทย์ เพราะนอกจากจะให้คุณสมบัติของการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มทางเลือกในการลงทุนทั่วโลกได้แล้ว ค่าธรรมเนียมกลยุทธ์อยู่ในระดับต่ำ ถึงต่ำมาก จึงสนับสนุนเป้าหมายของบริษัท ที่ต้องการเน้นผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้ากลยุทธ์เป็นสำคัญ โดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือขัดแย้ง (Conflict of interest) กลยุทธ์จะเลือกลงทุนใน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐเป็นหลัก เนื่องจากมีความหลากหลายเพียงพอ และสภาพคล่องรองรับที่สูง
การลงทุนด้วยกลยุทธ์ Global Asset Allocation มีความเสี่ยง มีโอกาสขาดทุน และไม่ถึงเป้าหมายได้ เช่นเดียวกันกับการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ แต่การวางแผนการลงทุน ตั้งเป้าหมาย กระจายความเสี่ยง และปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสภาวะการลงทุนอยู่เสมอ จะช่วยลดโอกาสที่เงินลงทุน จะไม่ถึงเป้าหมายได้
กลยุทธ์มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนโดยใช้ตราสารอนุพันธ์ โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกลยุทธ์ โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 75% ตลอดทั้งปี



