LIEF BOND OPPORTUNITY
Lief capital Asset Management
โอกาสสร้างผลตอบแทนถึง 5.76 % ต่อปี
ด้วยกองทุนส่วนบุคคล นโยบาย Lief Bond Opportunity (LBO)
หนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจลงทุนยามดอกเบี้ยสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2001 คือ ตราสารหนี้สหรัฐฯ แต่ถ้าจะลงทุนให้ได้ผลดี ต้องมีกลยุทธ์ กองทุนส่วนบุคคล ของ บลจ.ลีฟแคปปิตอล ช่วยให้ท่านไม่พลาดโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนคุ้มค่า ด้วยนโยบายการลงทุนผ่าน ETF กลุ่มตราสารหนี้อายุสั้น – กลาง ปรับพอร์ตโดยทีมผู้จัดการกองทุน เพื่อรองรับสภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน
กองทุนนี้เหมาะกับใคร ?
กองทุน LBO เป็นทางเลือกที่น่าสนใจกับนักลงทุนที่
-
Finding Opportunity
ต้องการสร้างผลตอบแทนจากภาวะดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง
-
Conservative Investing
ต้องการมองหาการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้
-
Diversified Investment
ต้องการกระจายความเสี่ยงด้วย ETF ลดความผันผวน ไม่กระจุกตัว
-
Professional
มีผู้จัดการกองทุน ติดตามสภาวะดอกเบี้ย และปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสถานการณ์
-
Currency Hedging
ต้องการกลไกการบริหารความเสี่ยงค่าเงิน ที่อาจส่งกระทบต่อผลตอบแทนได้
สรุปกลยุทธ์การลงทุน

- 1. ช่วงปัจจุบัน ที่ภาวะดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในระดับสูง
- 2. ช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยนโยบาย มีแนวโน้มปรับตัวลดลง (ไตรมาส 2 – 3 ปี 2024)
เศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือกลุ่ม DM ไม่มีการถดถอยอย่างรุนแรง หรือมีการฟื้นตัว ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อชะลอตัวตามคาด ฝ่ายจัดการลงทุนจะปรับพอร์ต โดยคัดเลือกหลักทรัพย์ ETF ตราสารหนี้ ที่มีอายุตราสารที่ยาวขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทน กำไรราคาตลาด (Capital Gain) จากการปรับลดลงของดอกเบี้ย
- 3. ภายหลังจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับคงที่ (ไตรมาส 4 ปี 2024 เป็นต้นไป)
กองทุนจะเลือกลงทุนใน ETF ตราสารหนี้ ที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสม ต่อไป โดยทางฝ่ายจัดการลงทุน จะปรับพอร์ตในสัดส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเงินลงทุนเป็นหลัก
แบบฟอร์มแสดงความสนใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- โอกาสลงทุนคาดว่าจะคงอยู่ไม่นาน อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ระยะสั้น กลาง อยู่ในระดับสูง จากภาวะ Inverted yield curve ในขณะที่ความเสี่ยงจากการลงทุน ถือว่าค่อนข้างต่ำ ลูกหนี้คือรัฐบาลสหรัฐ หรือบริษัทที่มีสถานะการเงินแข็งแรง ซึ่งสภาวะนี้ เมื่อเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว ผลตอบแทนดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะกลับมาอยู่ในภาวะปกติ
- ประกอบกับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากราคาตลาดของตราสารหนี้ หากมีการปรับตัวลงของดอกเบี้ยนโยบายในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งทางฝ่ายจัดการลงทุน คาดว่ารอบของการขึ้นดอกเบี้ยของ FED กำลังจะจบลง หลังจากมีการปรับขึ้นมาถึงระดับสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2001
- ความเสี่ยงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายขึ้นต่อ ในช่วงไตรมาส 4 เพื่อกำราบเงินเฟ้อให้ชะลอลงต่อ ซึ่งจะมีผลกระทบด้านลบต่อสินทรัพย์ตราสารหนี้ แต่จะกระทบกับกลยุทธ์ LBO ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเราเลือกตราสารหนี้อายุสั้น
- ความเสี่ยงเศรษฐกิจ ชะลอตัว ถดถอยอย่างรุนแรง ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงให้มีโอกาสที่อาจเกิดการผิดนัดชำระหนี้ได้ ซึ่งกลยุทธ์ LBO มีการกระจายความเสี่ยงด้วย ETF ที่ถือหลักทรัพย์หลายพันตัว ช่วยลดผลกระทบได้อย่างดี
- ความผันผวนของค่าเงิน USD/THB ซึ่งค่อนข้างมีนัยสำคัญ ที่อาจส่งผลให้ ผลตอบแทนจากการลงทุนในลักษณะ Income สูญหาย หรือถึงกับขาดทุนได้ แต่ด้วยรูปแบบกองทุนส่วนบุคคล ทำให้ฝ่ายจัดการลงทุนมีการใช้กลไกป้องความเสี่ยงค่าเงิน ตามสภาวะความผันผวน ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบได้บางส่วน หากค่าเงินมีปัจจัยผันผวนเข้ามากระทบเพิ่มเติม
กลยุทธ์ LBO เน้นสร้างผลตอบแทนในรูปแบบ Income จากดอกเบี้ยของ ETF ที่เลือกลงทุนเป็นหลัก แต่หากพิจารณาถึงโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการปรับลดลงของดอกเบี้ยนโยบาย ณ ช่วงปลายปี 2024 จะสามารถประเมินตามกรณีสมมติฐานได้ดังตาราง ซึ่งหากพิจารณาจาก Duration ของ LBO ที่ 1.41 ปี และหากอัตราดอกเบี้ยต่อปี ปรับลงไปที่ระดับ 4.25% ในช่วงสิ้นปี 2024 พอร์ตจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติม (Capital Gain) +1.86%
FED policy rate at the end of 2024 | Average Duration (Years) | ||
1.41 (LBO Port) | 3.98 | 7.83 | |
5.75 % | -0.37% | -0.99% | -1.96% |
5.55 % | 0.00% | 0.00% | 0.00% |
5.25 % | 0.37% | 0.99% | 1.96% |
5.00 % | 0.74% | 1.99% | 3.91% |
4.75 % | 1.12% | 2.98% | 5.87% |
4.50 % | 1.49% | 3.98% | 7.83% |
4.25 % | 1.86% | 4.97% | 9.78% |
* การเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดสินทรัพย์ตราสารหนี้ อาจมีความไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับปัจจัยการลงทุนหลายด้าน ข้อมูลที่นำเสนอเป็นเพียงตัวอย่างประมาณการณ์เท่านั้น ไม่ใช่ผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต
มีผู้จัดการกองทุน ติดตามสภาวะการลงทุน คัดเลือกหลักทรัพย์ และปรับพอร์ตให้สอดคล้อง เพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุนอยู่เสมอ โดยเฉพาะ กลยุทธ์ LBO ที่จะต้องมีการดำเนินกลยุทธ์ในแต่ละช่วงของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเหมาะสม
มีเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน
เงินลงทุนทำงานตามกรอบนโยบาย อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด แม้นักลงทุนจะมีภารกิจ หรือยุ่งแค่ไหน ก็ไม่พลาดโอกาสลงทุน
นักลงทุนสามารถ ลดทุน หรือยกเลิกกองทุนส่วนบุคคล เมื่อใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดด้านระยะเวลา โดยทาง บลจ.จะใช้เวลาดำเนินการขายหลักทรัพย์และนำเงินคืนสู่บัญชีลูกค้าภายใน 15 วันทำการ
เนื่องจากกองทุนส่วนบุคคล จำเป็นต้องมีการจัดตั้งผู้รับฝากทรัพย์สิน เพื่อให้ธุรกรรมและการจัดเก็บสินทรัพย์เป็นไปอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเป็นรายกองทุน ที่ 0.03 % ต่อปี ขั้นต่ำ 500 บาทต่อเดือน ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนสุทธิที่ลูกค้าได้รับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หากเงินลงทุนตั้งต้นไม่สูงนัก
เปิดบัญชี Online ผ่านทาง Lief Application ทั้ง iOS และ Android
IOS ดาวน์โหลดได้ที่นี่ : https://apps.apple.com/th/app/lief/id1583926003
Android ดาวน์โหลดได้ที่ : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.liefcapital.backbone&pcampaignid=web_share
เปิดบัญชีด้วยเอกสารลงนาม โดยแจ้งความประสงค์ได้ที่ Line Official ID : @Liefcapital หรือ https://lin.ee/5d3DQ6y
นักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://liefcapital.com/lief-opportunity-bond-lbo/
สอบถามเพิ่มเติม / ติดต่อเจ้าหน้าที่
เพียงแค่ @Line official : @liefcapital เรายินดีให้บริการท่านด้วยความเต็มใจ
ติดต่อเรา
แนวโน้มดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.435 % ในช่วงสิ้นปีหน้า (2024)

ดอกเบี้ยขาลง ตราสารหนี้อายุยาวกว่า เก็บตุนผลตอบแทนได้ดีกว่า

ลงทุนตราสารหนี้ ดีกว่า ถือเงินสด

เข้าไปรอก่อนไม่เสียหาย ถ้าเป็นคนท้ายๆ อาจได้ไม่คุ้มเสีย
แต่หากเข้าลงทุนช้าไป คือประมาณ 3 และ 5 เดือน หลังจากการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ผลตอบแทนของการลงทุนตราสารหนี้ จะบวกขึ้นไปล่วงหน้าแล้วกว่า 5.96 % และ 9.25 % ตามลำดับ
You must be logged in to post a comment.