MID-YEAR OUTLOOK

from Global asset management firms

มุมมองการลงทุนครึ่งปีหลัง 2023 จาก 15 บลจ. ชั้นนำระดับโลก

คลิกได้ที่ Logo ของแต่ละ บลจ. เพื่ออ่านเพิ่มเติม

ลำดับ

บลจ.ชั้นนำระดับโลก

มุมมองครึ่งปี 2023

มุมมองที่สนับสนุน

มุมมองที่เฝ้าระวัง

1.

- ผลกระทบการขึ้นดอกเบี้ยยังไม่ออกผลอย่างเต็มที่นัก 

- Reccesion ครั้งนี้จะไม่รุนแรง

- มองว่าสถานการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ดีขึ้น
- ต้องจับตาสถานการณ์การเมืองของจีน

- หุ้น US กลุ่ม Tech, Healthcare และ Clean Energy

- ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

- หุ้นจีน 

2.

- มองว่ามุมมองของตลาดดูจะมองโลกแง่ดีเกินไป

- เงินเฟ้อใน US จะลดลงต่อเนื่อง แต่จะไม่รวดเร็วนัก เพราะความต้องการด้านบริการ และการจ้างงานยังเข้มแข็ง จนกว่าจะมีเศรษฐกิจหดตัวเกิดขึ้น 

- หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี Large cap 

- หุ้นปันผลในกลุ่ม Defensive เช่น Healthcare, Utilities และ Infrastructure  

- หุ้นกลุ่ม Tech 

3.

- US GDP Growth จะโตช้าลง โดยปี 2023 โตเพียงแค่ 1.00% และ 1.4% ในปี 2024 เท่านั้น 

- CPI ปี 2023 จะจบที่ 3.50% และ 2.50% ในปี 2024 

- ค่าเงิน USD เชื่อว่าต่อจากนี้จะเริ่มอ่อนค่าลง 

- ตราสารหนี้ระยะยาว และตราสารหนี้ระดับลงทุน

- หุ้น Defensive เช่น Healthcare และ Consumer Staples
- หุ้นกลุ่ม Emerging Market (EM)

- กลุ่ม Consumer Discretionary 
- กลุ่ม Tech 

4.

- การลงทุนควรจะเน้นการกระจายความเสี่ยง

- เป็นช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง  ความรุนแรงหรือช่วงเวลาที่จะเกิดเศรษฐกิจหดตัวก็ยังไม่ชัดเจน  ทิศทางของนโยบายการเงินก็ยังไม่แน่นอน

- หุ้นกลุ่ม Quality ที่ยังราคาไม่แพงก็เช่น S&P High Yield Dividend Aristocrats Index
- หุ้นกลุ่ม Home Building และ Logistics 

- ทอง

- ไม่มีมุมมองส่วนนี้เป็นพิเศษ

5.

- มองว่าฝั่ง Develop Market นั้นจะเติบโตได้น้อยลงในปี 2023
- คาดว่า FED จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายปี 2023
- เชื่อว่า  EM มองว่าแม้ทั้งโลกจะชะลอแต่กลุ่ม EM ก็จะยังเติบโตได้จากการที่เงินเฟ้อฝั่ง EM ไม่ได้รุนแรงมากนัก

- กลุ่ม Emerging Market (EM) โดยเฉพาะจีน 

- หุ้น Developed Market (DM)

6.

- มองว่าความน่าจะเป็นในการเกิด Recession สูงถึง 80%

- ส่วนดอกเบี้ยนั้น มองว่าถึงจุดสูงสุดและจะขึ้นไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นอกจากว่าจะไม่เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจเลย FED อาจจะจำเป็นต้องพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง

- EU Bond จาก Yield ของฝั่ง เยอรมัน
- Tech US น่าสนใจจากกระแส AI
- China ยังคงมีโอกาสเติบโตมากที่สุดในเอเชีย
- High Quality Large Cap EU

- หุ้นกลุ่ม Financial ทั้ง EU และ US
- REITs

7.

- โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเป็นไปได้ยากนอกเสียจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะหดตัวอย่างรุนแรง

- ฝั่งยุโรปกับอังกฤษเชื่อว่ายังต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง 
-ในตลาด EM บางแห่งธนาคารกลางอาจจะใกล้ลดอัตราดอกเบี้ย

- ตราสารหนี้ระยะสั้นมากหรือเงินสด

- หุ้น U.S. Small-Caps
- หุ้น U.S. Mega-Caps ในกลุ่ม Tech
- หุ้นญี่ปุ่น

- ตราสารหนี้ระยะยาวคุณภาพสูงทั้งภาครัฐและเอกชน

8.

- อัตราค่าจ้างเติบโตดีอยู่ที่ประมาณ 5.2% ต่อปี  ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในระยะยาว
- เงินเฟ้อจะยังไม่ลดลงถึงเป้า 2% ได้ง่าย  เนื่องจากความต้องการในฝั่งภาคบริการยังสูง  ตลาดแรงงานยังเข้มแข็ง 

- หุ้นกลุ่มเติบโตและหุ้นใหญ่ใน U.S.
- ตราสารหนี้ระยะกลางและ MBS ใน U.S.
- ตราสารหนี้ Emerging markets (EM)

- หุ้นกลุ่ม Value ใน U.S.
- หุ้นกลุ่ม Small and Mid Cap ใน Developed markets
- ตราสารหนี้ใน Developed markets ex. U.S.

9.

- ผลตอบแทนในระยะ 5 ปีข้างหน้านี้จะมีความผันผวน
- การเติบโตของเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยจะอยู่ต่ำกว่าเงินเฟ้อ

- เงินดอลล่าร์ในอนาคตจะลดความสำคัญลง ในอีก 5 ปี ข้างหน้า
- ถึงแม้เงินเฟ้อจะลดลงมาก็จะยังผันผวน

- หุ้นในประเทศเอเชียที่กำลังเติบโต 
- หุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาด
- Private Debt 
- พันธบัตรรัฐบาล U.S. กับตราสารหนี้เอกชนระดับลงทุน

- ไม่มีมุมมองส่วนนี้เป็นพิเศษ

10.

- ปีนี้เงินเฟ้อสหรัฐจะไปจบที่ 4.00% และ ยุโรป อยู่ที่ 5.30 %
- EPS เชื่อว่าปี 2023 จะปรับตัวลง 5% 
- ฝั่งเศรษฐกิจจีน มองว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีจริงๆ อาจจะต้องรอถึงปี 2024 เนื่องจากโดนตลาดอสังหาฯ ฉุดไว้

- หุ้นญี่ปุ่น จากพื้นฐานที่ดี Valuationที่ถูก มีการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินให้โปร่งใสมากขึ้น
- ตราสารหนี้กลุ่ม Investment Grade จากระดับ Yield ที่น่าสนใจ และลดความเสี่ยงการ Default ในช่วง Recession อีกด้วย

- Regional Bank 
- EU กลุ่ม Consumer Discretionary
- REITs 

11.

- Well Fargo มองว่า เศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัว โดยฝั่งสหรัฐฯ นั้นจะชะลอตัวแบบ เบาๆ เท่านั้น
- GDP ทั่วโลกโตเพียงแค่ 2.8% ส่วนสหรัฐฯ โตแค่ 1.1%
- ให้เป้าหมาย S&P 500 สิ้นปีไว้ที่ 4,000-4,200 จุดเท่านั้น

- US Large Cap Defensive (Consumer staple,Healthcare และ Material) 
- Investment Grade และ Long Term Government Bond
- Developed Market (DM) ไม่รวม US 

- Consumer Discretionary
- REITs

12.

- Allianz เชื่อว่าครึ่งปีหลัง 2023 จะเกิด Recession 
- มีโอกาสปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกในครึ่งปีหลังจากนี้ 
- จีนจะชะลอตามโลก แต่ระยะยาวเชื่อว่าจะโตได้ดีจากมาตรการกระตุ้นอสังหา ฯ และการบริโภค

- หุ้นกลุ่ม Tech US โดยเฉพาะ AI

- หุ้นกลุ่ม Emerging Market (EM)

- Short Term Bond


- หุ้น EU 

- กลุ่มโลหะมีค่า ( ทองคำ,ทองแดง ) 


13.

- โอกาสเกิด Recession น้อยมาก
- Earning ของบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว 

- ตลาดได้รับรู้และสะท้อนในเรื่องของ Recession และ Earning ถดถอยไปก่อนหน้านี้แล้วการ Panic มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย 

- Investment Grade Bond

- High Quality - Short Duration Bond 
- หุ้น Tech US 
- หุ้น Developed Market นอก US อย่างเช่น เยอรมัน ญี่ปุ่น

- ไม่มีมุมมองส่วนนี้เป็นพิเศษ

14.

- มีโอกาสสูงมากที่จะเป็น Soft Landing

- เชื่อว่าปีนี้ FED จะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับนี้ทั้งปี แ

- EU มองว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายเงินเฟ้อผ่านจุด Peak 

- มองว่าจีนจะทำได้ดีในปีนี้โตถึง 5.70% 

- หุ้น Emerging Market (EM) และ ญี่ปุ่น  

- หุ้น US กลุ่ม Defensive อย่าง Consumer Discretionary และ Healthcare)

- ตราสารหนี้ระยะยาว 

- หุ้น Developed Market (DM)

15.

- เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ QT ต่อ
- มองว่าปี 2023 มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างมาก
- การบริโภคจะหดตัว และความเสี่ยงการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะเป็นเรื่องที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง 

-Investment Grade ทั้ง Short / High Duration 

- ตลาดหุ้น Emerging markets (EM)


- หุ้น Developed Market (DM)

Lief Kasian System

Line Official Account

ติดตามข่าวสาร สาระความรู้เรื่องการลงทุนได้ที่ Line Official : @liefcapital หรือมีคำถามที่ต้องการคำตอบเกี่ยวกับการบริการของ บลจ. ลีฟแคปปิตอล พวกเรายินดีพูดคุยให้คำปรึกษาอย่างจริงใจ

  • ติดตามข่าวสารการลงทุน และการเกษียณ

  • สงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กองทุน

  • อื่นๆ

Scroll to Top