INSIGHT

Lief capital Asset Management

สรุปมุมมองทิศทางการลงทุนไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ของ Fidelity

 

จากภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรงทั้งในเชิงลบและเชิงการหาโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ  โดยทาง Fidelity มีมุมมอง ดังนี้  

 

ผลกระทบจาก Covid และ สงครามยูเครนที่ผ่านมายังคงเป็นเป็นปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ รวมถึงสภาวะเงินเฟ้อ ถึงแม้ว่าจะเลยจุดสูงสุดไปแล้ว แต่คงยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง ของหลายๆประเทศอยู่ดีซึ่ง ณ ตอนนี้ทาง Fidelity มองว่า การเกิด Recession แบบ Hard Landing จะเป็นทางออกที่สมเหตุสมผล ที่สุดสำหรับกลุ่ม DM ในส่วนประเทศจีนและญี่ปุ่น ยังคงมีทั้งโอกาส และความเสี่ยง

 

ต้นทุนทางการเงินยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทาง Fidelity มองเห็นโอกาสในการลงทุนในกลุ่ม Defensive ที่มี Valuation ที่น่าสนใจและคุ้มค่าต่อความเสี่ยง 

 

ในส่วนของประเทศจีนที่เพิ่งกลับมาเปิดประเทศนั้น ในปี 2023 ในช่วงระยะสั้นและระยะกลางยังคงสามารถที่จะไปได้ต่อ แต่ในระยะยาวจะต้องดูความต่อเนื่องของนโยบายกระตุ้นต่อไป โดยรัฐบาลกลางได้ ตั้งเป้าหมายเติบโตไว้ที่ 5 % โดยมีปัจจัยจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงกิจกรรมของภาคอสังหาฯ กลับมาเป็นปัจจัยบวกที่มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มกลับมาของเศรษฐกิจจีน 

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภาคธนาคาร ส่งผลให้ความน่าจะเป็น ของการจะเกิด Recession มากขึ้น โดยแบ่งเป็น โอกาสในการเกิด Recession 80% และโอกาสในการเกิด Hard Landing อยู่ที่ 15 % แต่ใน Recession ครั้งนี้ ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเป็น Global Financial Crisis เหมือนกับปี 2008 จากอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารสหรัฐอเมริกา(ภาพซ้าย) และ ยุโรป (ภาพขวา) ที่มีสูงมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2008 เป็นสัญญาณที่ดีที่ธนาคารสามารถรับมือในเรื่องสภาพคล่องได้

จากภาพด้านบน จะเห็นว่าตั้งแต่ปลายปี 2022 ที่ประเทศจีนเริ่มมีการ Re-Open  เป็นต้นมา Sentiment ของประเทศจีน มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และสูงมาก ซึ่งสวนทางกับ ภูมิภาคอื่นๆ ที่ Sentiment ถึงแม้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้สูงเท่ากับประเทศ และ Fidelity มองว่าหากจีนมีSentiment ที่เป็นบวกมาก ก็จะส่งผลดีต่อกลุ่ม EM ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน Fidelity เห็นว่าควรลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น US จากเหตุการณ์ของภาค Banking มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจของฝั่ง US เข้าใกล้ Recession มากขึ้น  และ เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนจาก กลุ่ม EM ที่น่าจะได้รับผลประโยชน์ จากการที่ประเทศจีน Re-open และกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก Sentiment มองไปทางบวกค่อนข้างมาก ส่วนของฝั่งยุโรปนั้น ยังมีมุมมองไปทางกลางๆ เนื่องจากถึงแม้ว่าช่วงที่ีผ่านมาเงินเฟ้อยังสูงและมี Sticky อยู่ ส่วนตราสารหนี้นั้น จากโอกาส Hard Landing ที่สูงและ แนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ และ กลุ่ม Investment Grade Bond เพื่อลดความเสี่ยงการ Default ในช่วงที่จะเกิด Recession 

 

 

โดยสรุป :

ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิด Recession แบบ Hard Landing มีเพิ่มมากขึ้นเป็น 15% จากวิกฤติสภาพคล่องของภาค Banking และต้นทุนทางการเงินที่ยังคงที่สูงขึ้นไปได้อีก เนื่องเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าถึงแม้จะลงมาแล้ว แต่ยังคงมีSticky อยู่ประมาณหนึ่ง ทั้งนี้วิกฤติ Banking ครั้งนี้ไม่ได้ลุกลามถึงขนาดจะเป็น Global Financial Crisis เนื่องจากธนาคารยังคงมีอัตราเงินสำรองที่สูงกว่าเมื่อปี 2008 ค่อนข้างมาก แนะนำให้ลดการลงทุนจากฝั่ง US และเริ่มมองหาโอกาสจากกลุ่ม EM ที่จะได้รับประโยชน์จากที่จีนเปิดประเทศ ขณะเดียวกันในฝั่งตราสารหนี้ แนะนำเป็นพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ จากภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ และ ตราสารหนี้ ที่เป็น Investment Grade เพื่อลดความเสี่ยงการ Default ในพันธบัตรในช่วง Recession

 

 

ข้อมูลอ้างอิง : https://s3-eu-west-1.amazonaws.com/euissmultisiteprod-live-8dd1b69cadf7409099ee6471b87c49a-7653963/international/PDF/Q2%20Outlook%202023/Q2%202023%20Outlook%20deck%20v3.pdf

*บทความสรุปเนื้อหาเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน หรือคำเสนอสินค้าและบริการทางการเงินการลงทุน นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

Scroll to Top