การจัดพอร์ตแบบ 60/40 จากนี้ จะให้ผลตอบแทนได้สักเท่าไหร่


การจัดพอร์ตแบบ 60/40 จากนี้ จะให้ผลตอบแทนได้สักเท่าไหร่ ?

หากท่านยังไม่รู้จะจัดพอร์ตยังไง ให้เหมาะกับปี 2023 การผสมตราสารหนี้เข้ามา เป็นอีกกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ มีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

ต้องยอมรับว่าปี 2022 ถือว่าเป็นปีที่สภาวะลงทุนเป็นไปอย่างยากลำบาก และถือว่าสินทรัพย์ไม่ว่าเสี่ยงสูงหรือต่ำ ต่างพากันให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว 

กว่า 25 ปีที่นักลงทุน สามารถเอนจอยเลือกลงทุนทั้งหุ้นและหนี้ และได้ผลดีในด้านการกระจายความเสี่ยง 

แต่ด้วยผลกระทบของมหากาพย์ การผ่อนคลายทางการเงิน ที่ธนาคารกลางต่างใช้ดอกเบี้ยเป็นหหนึ่งในเครื่องมือ จัดการแก้วิกฤตการเงิน ปรับลดและขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเป็นว่าเล่น ส่งผลให้ในช่วงปี 2022 หุ้นโลกปรับตัวลงกว่า 20% ตราสารหนี้โลก ก็หลบไม่พ้น โดยปัจจัยเดียวกัน ปรับตัวลงกว่า 15-18 %

และถึงแม้จะพยายาม จัดพอร์ตกระจายควาเมสี่ยงแบบ 60/40 แล้ว ผลตอบแทนจะออกมาขาดทุน อยู่แถว ๆ -15% อยู่ดี ซึ่งในรอบกว่า 120  ปี มีเพียง 7 ปีเท่านั้น ที่จะขาดทุนได้ในระดับนี้

ที่ปี 2022 ขาดทุนหนักมาก สาเหตุคงไม่พ้นเรื่องของ เงินเฟ้อ และความขัดแย้งด้านการเมือง สงคราม แต่สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยง หรือมีเป้าหมายระยะยาว อาจจะมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนที่ดีได้ 

เมื่อลองพิจารณา แนวโน้มการลงทุน ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (จากโมเดลของ UBS) พบว่าตลาด ณ ปัจจุบัน เป็นจุดที่การลงทุนมีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อ 12 – 15 เดือนก่อนมาก โดยคาดว่า ผลตอบแทนที่คาดหวังสำหรับพอร์ต 60/40 อยู่ที่ 7.1% สูงขึ้นกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วง กลางปี 2021 

ราคาน่าคบหา … เมื่อเทียบกับสถานการณ์ เมื่อ 1 ปี ก่อนหน้า ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้ ราคาตลาดของทั้งสินทรัพย์ลงทุนเช่น หุ้น กองทุนอสังหาฯ ตราสารหนี้ เทกระจาด ถูกลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันดอกเบี้ยเงินฝาก/ตราสารหนี้ ก็ปรับสูงขึ้น บนภาพของแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ทำให้การลงทุนตอนนี้ เหมือนซื้อของเซลล์ ลดราคากระหน่ำ

ดอกเบี้ยปรับขึ้นยกแผง … ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชน หุ้นกู้ ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ ผลจาก FED ขึ้นดอกเบี้ยรวดเร็วและรุนแรง ยกตัวอย่างกลุ่ม Global Investment Grade จากเดิมที่ให้ดอกอยู่แถว 0.50% ขึ้นมาเป็น 6.80% เลยทีเดียว ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี ที่ทางเลือกในการจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง อย่างตราสารหนี้ จะกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างดีอีกครั้ง หลังจากยุคดอกเบี้ยต่ำยาวนาน

คาดหวังได้เท่าไหร่ ? ทาง UBS แบ่งเป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้น ขอสรุปง่ายเป็น 3 เคส

  1. Base Case เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ไม่ร้อนแรง ไม่เลวร้ายมาก พอร์ต 60/40 ให้ผลตอบแทน = 7.1%

  2. Best Case เงินเฟ้อต่ำ เศรษฐกิจโตมากกว่าค่าเฉลี่ย ผลตอบแทน = 10.1%

  3. Worst Case เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะลอตัว ผลตอบแทน = -0.20%

ข่าวดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว (ประมาณ 5 ปี) การย่อตัวลงในปี 2022 อาจเป็นเพื่อการกระโดดไปต่อในปี 2023 และปีต่อ ๆ ไป แต่ต้องระลึกไว้ว่า ความผันผวนยังคงอยู่ ภาวะเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน ผลตอบแทนคาดหวังยังมองได้เป็นแค่ช่วงกว้าง ๆ แต่หากพิจารณาในระยะยาวแล้ว ถือว่า ค่อนข้างสดใส มีโอกาสมากขึ้น



สรุป

กลยุทธ์ที่ดี คือ กระจาย ทาง UBS เชื่อว่า การจัดพอร์ตที่กระจายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่นอกเหนือจาก หุ้น และตราสารหนี้ เช่น Real asset (สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์) จะยิ่งช่วยให้พอร์ตมีเสถียรภาพมากขึ้น ทนทานต่อเงินเฟ้อในระดับสูง (กว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา) และต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้ดีขึ้น 

6 ข้อง่ายๆ ช่วยให้มีเป้าหมายหลังเกษียณ


6 ข้อง่ายๆ ช่วยให้มีเป้าหมายหลังเกษียณ

การมีเป้าหมายในการทำอะไรบางอย่าง จะช่วยให้เราจับต้องภาพความคิดให้เป็นรูปเป็นร่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการพิจารณาว่าแท้จริงแล้วตัวคุณนั้นต้องการอะไร อยากได้อะไร อยากมีชีวิตแบบไหน หลังจากนั้นสิ่งที่จะตามมาคือ คุณจะเริ่มรู้ว่าคุณจะต้องทำอะไรเพื่อให้ไปถึงสิ่งเหล่านั้น

ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อย “ที่ยังไม่พบเป้าหมายหลังเกษียณ” ยังไม่ทราบว่าตนเองมีเป้าหมายแบบไหนโดยผมมีคำแนะนำสำหรับการตั้งเป้าหมายเกษียณ 6 ข้อ ที่จะมาเป็นแรงบันดาลใจให้ท่าน ดังนี้

1.ตั้งเป้าหมายว่าต้องการใช้เงินเท่าไหร่ต่อ เดือน-ปี หลังเกษียณ

 
ถ้าทราบว่าตัวเองต้องการจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ต่อเดือน คุณจะสามารถกำหนดวิธีการใช้ชีวิตเพื่อนำไปสู่เป้าหมายนั้นได้ เช่น หากต้องการใช้เงินเดือนละ 2 5,000 บาท คุณต้องมีทรัพย์สินเงินทองเตรียมไว้เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ หากไม่พอต้องทำอย่างไร จะปรับเป้าหมายของตัวเองลงไหม หรือจะพยายามหาวิธีที่จะทำให้เป้าหมายมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้น
 
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าต้องมีเงินเท่าไหร่? ผมมีวิธีคำนวณเบื้องต้น คือ
ให้คุณนำเงินที่ต้องการใช้ต่อเดือน x 12 เดือน x อายุขัยหลังเกษียณ x 2 เท่า ดังนั้น หากคุณต้องการเกษียณอายุ 55 ปี คาดว่าอนาคตจะใช้จ่ายเดือนละ 25,000 บาท และคาดว่าจะมีอายุขัยถึง 80 ปี เท่ากับว่าคุณต้องเตรียมเงิน 25,000 x 12 x (80-55) x 2 = 15 ล้านบาท นั่นเอง

2.ตั้งเป้าว่าจะมีชีวิตให้นานที่สุด (จะมีเวลาใช้ชีวิตให้มากที่สุด)

 
อยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุดกับเวลาที่มี เพราะชาติหน้ามีจริงหรือไม่ยังไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัด ดังนั้นหากคุณตั้งเป้าหมายนี้ สิ่งที่ต้องมีมากกว่าคนอื่นคือ วินัยและความพยายาม เพราะว่าต้องดูแลสุขภาพตนเองอย่างเข้มงวด ควบคุมอาหารการกิน และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นั่นเอง
 
โดยผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 80.4 ปี ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 73.2 ปี และในปี 2583 อายุเฉลี่ยทั้งเพศหญิง และชายจะเพิ่มขึ้นเป็น 83.2 ปี และ 76.8 ปี ส่งผลให้ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชายเนื่องจาก อายุยืนกว่า (อ้างอิงจาก WHO)
 
หลังจากทุกท่านรู้อายุเฉลี่ยโดยทั่วไปแล้ว ขอให้ทุกท่านดูแลตนเองได้ดีจนมีอายุเกินค่าเฉลี่ย ดังที่กล่าวมาครับ แต่อย่าลืมว่าหากคุณต้องการมีชีวิตที่นานขึ้น จำนวนเงินที่คุณต้องเตรียมสำหรับการเกษียณก็จะมากขึ้นตามด้วยหากอ้างอิงจากข้อที่ 1

3.จะสร้างประสบการณ์ชีวิตให้มากที่สุด

 
ข้อนี้ถือเป็นข้อพื้นฐานเลยก็ว่าได้ หากคิดอะไรไม่ออกลองคิดดูสิว่าคุณอยากจะทำอะไร ที่จะมอบความทรงจำดีๆ ให้กับชีวิตบ้าง เช่น
หากคุณใฝ่ฝันว่าอยากออกทริปบนเรือสำราญสุดหรูสักครั้งในชีวิต คุณก็ต้องเริ่มเก็บเงิน ศึกษาข้อมูล ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
 
หากยกตัวอย่างเช่น แพ็คเกจเรือสําราญ 10 วัน 9 คืน ที่พาทัวร์ ฮ่องกง – เชจู – ปูซาน – ฟุกุโอกะ – คําโกชิม่า ซึ่งราคาต่อคนอยู่ที่ 62,400 บาท หากเป็นห้องไม่มีหน้าต่าง หากมีหน้าต่างก็จะเป็น 79,100 บาท ซึ่งราคาต่างกัน แต่นี่ยังไม่ใช่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่คุณต้องเตรียม เพราะราคานี้ยังไม่รวมค่าเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
 
นอกจากนี้ คุณยังสามารถอัพเกรดประสบการณ์ให้เหนือขั้นไปกว่านั้นได้อีก เช่น แพ็คเกจร่องเรือโซนยุโรปที่สามารถร่องจากมหาสมุทรไปจนถึงขั้วโลก แต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายต่อคนสูงถึง 200,000 บาท เลยทีเดียว

4.ใช้เวลาที่เหลือไปกับสิ่งใหม่ (หาความสนใจใหม่ๆ)

 
คุณอาจจะมีสิ่งที่ชอบ “แต่ยังไม่เคยทำ” เราจะรู้สึกว่าชอบบางอย่างได้เพราะได้ใช้เวลากับมัน แต่ติดที่ว่าไม่มีเวลามองหาสิ่งใหม่ๆ เลยนั่นเอง ดังนั้นลองตั้งเป้าใช้ชีวิตที่เหลือหลังเกษียณไปกับการทำสิ่งที่ไม่เคยทำดูไหม เช่น จะ ปั่นจักรยานจากไทยไปอินเดีย หรือการเรียนภาษารัสเซียเพราะอยากมีเพื่อนเป็นคนรัสเซียก็ได้

5.นำตัวเองไปอยู่ในสถานที่ใหม่ๆ

 
บางทีการอยู่สถานที่เดิมๆ ก็อาจจะทำให้จิตใจห่อเหี่ยวได้ เจอแต่สิ่งเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ หากคุณมีกำลังทรัพย์ที่มากพอ คุณสามารถนำเงินเหล่านั้นไปซื้อ หรือเช่าบ้านพักตากอากาศ เพื่อให้ชีวิตให้ดูกระชุ่มกระชวยไม่น่าเบื่อก็ได้ โดยหากเช่าจะมีราคาตั้งแต่หลัก 100 – 10,000 บาท ให้เลือกสรรขึ้นอยู่กับความสวยงามและความพิเศษของสถานที่
 
อย่างบางวันเบื่อเมืองหลวงก็ย้ายไปบ้านติดภูเขา พอเบื่อภูเขาก็ย้ายไปบ้านพักริมทะเลตามใจชอบ เพราะหลังเกษียณเรามีเวลาให้พักผ่อนมากมายจะเดินทางไปพักที่ไหนตอนไหนก็ได้นั่นเอง

6.ปลูกปั้นส่งต่อมรดกให้กับใครสักคน

 
การส่งต่อมรดกก็เหมือนการได้ส่งต่อความพยายาม เรื่องราว และการประสบความสำเร็จให้กับคนอื่น ซึ่งจะดีแค่ไหนหากคนที่ได้รับมรดกไปจะมีคุณภาพชีวิต มีความสุขที่มากขึ้น
 
ถึงคุณไม่มีใครรอบกายเลย ก็ยังมีทางเลือกที่จะบริจาค ทำการกุศลให้กับมูลนิธิต่างๆ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้เช่นกัน ใครจะรู้ว่าสิ่งที่คุณมอบไปนั้นอาจจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครอีกหลายคนไปในทางที่ดีก็ได้

สรุป

จะเห็นว่าเป้าหมายส่วนใหญ่จะมีสิ่งหนึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนความสุขนั่นก็คือ “เงิน” นั่นเอง เพราะสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำมาซึ่งประสบการณ์ แนวทาง และขีดจำกัดว่าคุณจะสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้เต็มที่แค่ไหน นั้นขึ้นอยู่กับคุณมีเงินมากแแค่ไหน เพราะการมีเงินมากก็เหมือนกับการมีตัวเลือกให้กับชีวิตตนเองมากขึ้นนั่นเอง 

 

ดังนั้นหากทุกท่านพบแล้วว่าเป้าหมายตนเองคืออะไร ก็อย่าลืมหาทาง หาเงินไปให้ถึงเป้านั้นให้ได้ ใครที่คิดว่าตอนนี้ตนก็มีโอกาสทำตามเป้าหมายได้ผมก็ยินดีด้วยอย่างยิ่งครับ แต่หากใครยังห่างไกลก็ขอให้หาเครื่องมือ หรือวิธีการนั้นให้เจอครับ

 

Share On :

ตั้งแต่จัดตั้ง Lief Selective Fund ผลตอบแทนเป็นอย่างไร


ตั้งแต่จัดตั้ง กลยุทธ์หุ้นไทย Lief Selective Fund ผลตอบแทนเป็นอย่างไร ?

ในปีที่ภาวะการลงทุนทั่วโลกปั่นป่วน ด้วยปัจจัยความเสี่ยงที่ถาโถมเข้าหานักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ปมสงครามขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน เงินเฟ้อที่พุ่งสูงเป็นทะลุสถิติในรอบ 40 ปี การปรับลดมาตรการผ่อนคลาย เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก เศรษฐกิจจีนที่แนวโน้มการฟื้นตัวยังเป็นไปอย่างยากลำบาก 

แต่ต้องยอมรับว่าท่ามกลางความผันผวนในหลายกลุ่มสินทรัพย์ หุ้นไทย ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดโดยเปรียบเทียบ หรือเรียกว่า ถ้าเจ็บก็เจ็บน้อยที่สุด ด้วยตั้งแต่ต้นปี ดัชนีหุ้น S&P500 สหรัฐ ฯ ปรับตัวลดลงกว่า -21.95% NASDAQ -33.89% แต่ SET Index ปรับตัวลงเพียง -1.40% เท่านั้น 

คำถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงกันก่อนว่า ตอนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวฟื้นขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ตลาดไทยไม่ได้ฟื้นตามเขาสักเท่าไหร่นัก (ณ จุดสูงสุดของดัชนี S&P500 ฟื้นตัวได้ประมาณ +75% ในขณะที่ดัชนี SET +45%) ประกอบกับในช่วงปี 2565 ความกังวลเกี่ยวกับประเด็นเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลกระทบต่อ Valutaion หุ้นกลุ่มเติบโต กลุ่มเทคโนโลยีมากกว่า หุ้นกลุ่ม Value และ Defensive มาก ประเทศไทยเองก็มีสัดส่วนกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์เป็นอันดับต้น ๆ ความผันผวนจึงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด 

นอกจากปัจจัยในเชิงมหภาค (Top down) ที่สนับสนุนหุ้นไทยเป็นลมใต้ปีก ไม่ให้ลงหนักมากแล้ว การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหุ้น (Bottom up) ก็เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ สำหรับการเลือกลงทุน โดยเฉพาะการวิเคราะห์ งบการเงิน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งกลยุทธ์ Lief Selective Fund คัดเลือกหุ้นไทยที่มีความโดดเด่นและต่อเนื่องด้านผลการดำเนินงาน พิจารณาย้อนหลัง 8 ไตรมาสเพื่อดูอัตราเร่งของการเปลี่ยนแปลง เพื่อเฟ้นหาบริษัทที่แข็งแกร่ง ทนทาน อยู่รอด เหมาะสมกับการลงทุน 

โดยผลตอบแทนจริงตั้งแต่จัดตั้ง 10 มีนาคม - 31 ตุลาคม 2565 (เป็นระยะเวลา 8 เดือน)

Lief Selective (Balance) +7.20% และ Lief Selective (Growth) +8.10% ในขณะที่ SET Total Return Index -0.47% ถือว่าสูงกว่าเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานอยู่พอสมควร”

หมายเหตุ – ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้บ่งชี้ถึงผลตอบแทนในอนาคต / ผลตอบแทนจากการลงทุนจริง สุทธิค่าใช้จ่ายกองทุนทั้งหมดแล้ว / ผลการลงทุนในอนาคตอาจแตกต่าง หรือขาดทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ /การลงทุนมีความเสี่ยงนักลงทุนต้องศึกษารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ทั้งในแง่ของความเสี่ยงและผลตอบแทนทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน

กลยุทธ์ Lief Selective Fund ลงทุนหุ้นไทย 100% (Fully Invest) ในลักษณะถือลงทุนระยะยาว (Buy & Hold) โดยมีการพิจารณาปรับพอร์ต รายไตรมาส โดยพิจารณาจากข้อมูลงบการเงินที่ประกาศออกมาในระหว่างช่วงปี ผ่านการคัดกรองด้วย Genetic Algorithm เฟ้นหาผู้ชนะอย่างแท้จริง หลังจากนั้นทางฝ่ายจัดการกองทุนจะนำผลลัพธ์ที่ได้ไปพิจารณา วิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพอีกครั้งหนึ่ง เพื่อคัดกรองบริษัทที่มีความเสี่ยงในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่นการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่ปกติ สภาพคล่อง ข่าวสาร หรือกลุ่มผู้บริหารที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนได้

Lief Selective Fund มีสองกลยุทธ์ คือ Lief Selective Balance เป็นการกระจายเงินลงทุนเท่า ๆ กันในหุ้น 25 ตัวที่ผ่านการคัดเลือกข้างต้นมาแล้ว และ Lief Selective Growth กระจายในหุ้นเพียง 10 ตัวเท่านั้น  เรียกว่านักลงทุนสามารถพิจารณาเลือกได้ ตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตนเองได้ 

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น นักลงทุนอาจลองพิจารณาจากตัวอย่างหลักทรัพย์ที่กลยุทธ์ Lief Selective เลือกลงทุนในอดีต ช่วงไตรมาสที่ 2 คัดเลือกจากข้อมูลงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2565 ดังนี้

หมายเหตุ : ตัวอย่างหลักทรัพย์เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเท่านั้น ปัจจุบันกองทุนอาจมีหรือไม่มีการลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าว

แน่นอนว่าในพอร์ตการลงทุน จะมีหลักทรัพย์ที่เราเลือกลงทุนและขาดทุนบางส่วน แต่โดยเฉลี่ยรวมแล้ว ด้วยหลักการ Buy and Hold ลดการซื้อขายตามอารมณ์หรือปัจจัยช่วงสั้น ประกอบกับกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ราคาตลาดจะค่อย ๆ สะท้อนความแข็งแกร่งในเชิงพื้นฐานของหุ้นที่ Lief Selective Fund เลือกลงทุนในแต่ละไตรมาส และสามารถสร้างการเติบโตของเงินลงทุนได้ในระยะยาว 

“คำถามที่ยังเหลืออยู่หากจะเลือกลงทุนในหุ้นไทย คือ อนาคตและศักยภาพการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย จะยังสามารถยืนหยัดต่อสู้บนเวทีโลกได้หรือไม่ ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้านอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วขึ้นทุกที”

ส่องโอกาสลงทุน "หุ้นไทย ได้ไปต่อ?" - Exclusive seminar

✨วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2565 เวลา 09.00-12.00น.
✨เหมาะสำหรับนักลงทุนหุ้นไทยที่อยากหา Solution เพื่อตอบโจทย์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

เราจึงอยากเชิญชวนท่านมาหาคำตอบร่วมกัน กับงานเสวนา ส่องโอกาสลงทุน “หุ้นไทย ได้ไปต่อ?”

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2565 เวลา 9:00-12:00 พบกันที่ KX Knowledge Exchange (400 เมตร จาก BTS วงเวียนใหญ่ )

พบกับวิทยากรรับเชิญพิเศษ รศ.ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ, อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย

ในหัวข้อ : “โอกาสเติบโตของไทย” บนเวทีโลกในยุคดิจิทัล รวมถึงเจาะลึกกลยุทธ์ Lief Selective Fund โดยทีมผู้ร่วมพัฒนาเครื่องมือ คัดเลือกการลงทุน คุณ ธานินทร์ แซมมณี, CEO& CO-Founder, Deepscope สามารถลงทะเบียนได้ที่นี่ : https://bit.ly/3fpftKE

Share On :