เผยกลุ่มธุจกิจที่ "ทำได้ดีในสภาวะเงินเฟ้อสูง"

👉เงินเฟ้อที่สูง

และดูเหมือนจะสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เราในฐานะบริษัทจัดการการลงทุนให้กับลูกค้าต้องมานั่งคิดเหมือนกันว่า เราควรจะต้องกังวลกับเรื่องเงินเฟ้อนี้หรือเปล่า และถ้าสมมติเงินเฟ้อจะสูงแบบนี้เป็นระยะเวลานานเราควรจะลงทุนในหุ้นธุรกิจกลุ่มไหนดี

👉ที่มา

ของเงินเฟ้อที่สูงในครั้งนี้ แต่แรกเริ่มเลยมาจาก
ความต้องการสินค้าและบริการของคนจำนวนมาก เกิดขึ้นในระยะเวลาเดียวกันช่วงหลังปี 2021 ที่หลายประเทศคลาย lockdown และคนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ

👉รัฐบาลทั่วโลก

กระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนโยบายการคลังและการเงิน ภาคการผลิตและ supply chain รองรับไม่ทัน

👉แล้วก็มาเจอ

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดซ้ำเข้าไปอีก สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาพลังงานและสินค้าเกษตรสำคัญอย่างข้าวสาลีสูงขึ้นมาก

👉โควิดระบาด

ในจีน รัฐบาลจีนใช้นโยบาย lockdown ต้องการให้ zero-COVID ซึ่งจะกระทบกับโรงงานและ supply chain แน่ๆ และอาจจะทำให้ราคาสินค้าข้าวของแพงขึ้นไปอีก

⭕ในทางทฤษฎีแล้ว

การลงทุนในหุ้นควรจะสามารถป้องกันผลของเงินเฟ้อได้ระดับหนึ่ง เป็นเพราะบริษัทต่างๆก็ควรจะสามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้ ดังนั้นรายได้ก็ควรจะเติบโตและกำไรก็ควรจะสูงขึ้นเป็นการชดเชยผลของเงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้

⭕ในทางปฏิบัติ

 ความสามารถในการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้ลูกค้าไม่ได้ทำได้เท่ากันทุกบริษัท บางบริษัทที่ผลักภาระได้น้อยก็จะกลายเป็นว่าต้นทุนราคาสูงขึ้นเร็วกว่ารายได้ที่เติบโตบริษัทพวกนี้ Net Profit Margin ก็จะหดน้อยลง ส่วนบริษัทที่ผลักภาระได้ดีเป็นพิเศษบางทีต้นทุนที่สูงขึ้นโตช้ากว่าราคาขายกลายเป็นว่า Net Profit Margin ขยายดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูงผิดปกติ หุ้นบางกลุ่มธุรกิจก็อาจจะได้เปรียบอีกกลุ่ม ไม่ได้ว่าทำได้ดีทุกธุรกิจ

❓❓คำถามสำคัญ

ต่อมาก็คือ งั้นบริษัทกลุ่มไหนนะที่ทำได้ดีในช่วงเงินเฟ้อสูง ?
เราก็ไปเจอว่ามีคนทำ study เรื่องนี้เหมือนกัน อันนี้กราฟของ Schroders ครับ เป็นกราฟที่แสดงผลตอบแทนของหุ้นใน US แบ่งตามกลุ่มธุรกิจในช่วงที่มีเงินเฟ้อสูงหรือช่วงที่เงินเฟ้อกำลังสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1973-2020
⭕แกน X แสดงว่ามีช่วงที่ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อเป็นกี่ % ของทั้งหมด หรือก็คือวัดว่าธุรกิจกลุ่มนั้นชนะเงินเฟ้อสูงบ่อยแค่ไหน
⭕แกน Y วัดผลตอบแทนว่าผลตอบแทนเทียบกับเงินเฟ้อเป็นเท่าไหร่

 🚩กลุ่มธุรกิจ Energy

ที่ร่วมพวกที่ทำเกี่ยวน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทำได้ดีมาก ทั้งในแง่ว่ามีโอกาสสูงที่จะชนะและชนะเป็น % ที่สูง ซึ่งอันนี้ก็น่าจะเข้าใจได้เพราะที่ผ่านมาเวลาที่เงินเฟ้อสูงมันมักจะมาจากสาเหตุคือต้นทุนพลังงานที่สูง ดังนั้นกลุ่มธุรกิจนี้จะเป็นกลุ่มที่ไ่ด้ประโยชน์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก

🚩Equity REITs

นั้นน่าตื่นเต้นเพราะ ผลตอบแทนดีกว่าเงินเฟ้อบ่อยอยู่ แสดงว่าที่ผ่านมาพวกกลุ่มนี้สามารถที่จะผลักภาระต่อให้กับลูกค้าได้ในแง่ของการขึ้นค่าเช่า และอาจจะได้ประโยชน์จากมุมที่ว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของอยู่ก็สูงขึ้นตามเงินเฟ้อด้วย เป็นอะไรที่ทำได้ดีกว่าที่เราคาดนะ

🚩กลับกัน REIT

 ที่แย่คือ Mortgage REITs ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของตัวอสังหาริมทรัพย์แต่เป็นการลงทุนแบบให้ยืมเงินแล้วค้ำประกันด้วยอสังหาริมทรัพย์แทน พวกนี้ก็จะลำบากเพราะอัตราผลตอบแทนมัน fixed ไปแล้วในระดับนึง โดนผลกระทบของเงินเฟ้อกินเข้าไปในผลตอบแทนเต็มๆ

🚩Consumer Discretionary

ก็เข้าใจได้ สินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่ได้ต้องจำเป็นต้องซื้อ ในเวลาที่เงินเฟ้อสูงก็จะเป็นอย่างแรกๆที่ผู้บริโภคหยุดซื้อ

🚩กลุ่มที่เป็น IT

เป็นเทคโนโลยีก็ดูเหมือนจะทำได้ไม่ดี เข้าใจว่าเป็นเพราะกระแสเงินสดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมันอยู่ในอนาคตไกลออกไป พอเงินเฟ้อสูงเลยทำให้ discount rate ที่ใช้สูงตาม คิดลดกลับมาก็เลยทำให้มูลค่าของบริษัทกลุ่มนี้ลดลงเยอะ

🚩เราแปลกใจ

ก็จะเป็นกลุ่ม Utilities ที่ดูเหมือนจะชนะแค่ 50% เท่านั้น ทั้งที่ปกติน่าจะเป็นกลุ่มที่ผูกขาด เข้าใจว่าเป็นเพราะข้อจำกัดเรื่องการขึ้นราคาที่มาจากสัญญาที่ทำกับรัฐ

🚩กลุ่ม Consumer Staples

นี่ก็ตามคาดคือน่าจะชนะเงินเฟ้อได้ เพราะเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นที่คนต้องใช้และโดยปกติก็ไม่ใช่สินค้าราคาสูงอยู่แล้ว แต่ก็แปลกใจนิดนึงที่สู้เงินเฟ้อได้น้อยกว่า Equity REITs นะ 

บทสรุป

ถ้าเราคาดว่าเงินเฟ้อจะสูงกว่าที่คาด  การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Energy, Equity REITs และ Consumer Staples ก็เป็นทางเลือกที่ดี สำหรับกองทุนที่เราบริหารอยู่  เราก็สบายใจเพราะสัดส่วนที่เราลงทุนให้ลูกค้าอย่างน้อยก็มีสัดส่วนเยอะอยู่ที่น่าจะชนะเงินเฟ้อหรืออย่างน้อยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่  เรามีลงทุนใน Equity REITs ที่น่าจะได้เปรียบจากเงินเฟ้ออยู่เยอะพอสมควร  มี Utilities ที่น่าจะกลางๆจากเงินเฟ้อโดยคาดหวังการเติบโตระยะยาว  และมีสัดส่วนเงินลงทุนใน IT ไม่เยอะ

** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตัดสินใจด้วยตนเอง โดยบทความนี้มิใช่สิ่งชี้นำซื้อขายการลงทุนแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงแค่การให้ความรู้และข้อมูลที่ช่วยให้เพิ่มมุมมองในการลงทุนเท่านั้น **

Share On :

Scroll to Top